ตอนสาย ๆ ของวันจันทร์ วันแรกของสัปดาห์ที่จะมีคนมารับบริการที่ รพ.สต.มากกว่าทุก ๆ วันเป็นปกติวิสัย มีทั้งผู้ป่วยและญาติที่กำลังพูดคุยกันเซ็งแซ่ บางคนกำลังชั่งน้ำหนัก บางคนนั่งรอวัดความดันโลหิตกับ อสม.จิตอาสาที่มาช่วยงานที่ รพ.สต. ช่างดูวุ่นวายจริง ๆ ขณะนั่งตรวจคนไข้กลุ่มแรกอยู่ในห้องตรวจ พยาบาลน้อยก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มคนหนึ่ง สอบถามพี่คนงานที่อยู่จุดคัดกรองว่า อยากให้หมอไปเยี่ยมยายของเขาหน่อย ได้ยินเสียงพูดคุยซักถามกันสักครู่ พี่คนงานก็เดินเข้ามาถาม
“ น้องเขาอยากให้ไปดูแผลของยายน้องเขาให้หน่อย จะไปได้ไหมค่ะ ” พี่ศรีถาม แล้วรอฟังคำตอบ
“ เดี๋ยว แป้บนึงนะพี่ ขอตรวจลุงแกเสร็จ แล้วจะออกไปคุยด้วย ” พยาบาลน้อยตอบไปด้วยกำลังตรวจลุงแก้วที่ปวดขามา 3 วัน ค้างไว้อยู่ พอจ่ายยาให้ลุงแก้วเสร็จ ก็เดินออกไปบอกป้าวรรณที่กำลังนั่งรอตรวจเป็นคิวถัดไปว่าขอคุยธุระกับน้องผู้ชายคนนี้สักครู่ ป้าวรรณที่ดูท่าทางใจดี พยักหน้ายิ้มรับ
“ สวัสดีครับ ” ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ สวัสดีค่ะ ” พยาบาลน้อยรีบรับไหว้
“ มีใครเป็นอะไรนะค่ะ เมื่อกี้พี่ศรีบอกว่าอยากให้ไปเยี่ยมคนไข้ที่บ้านหน่อย ” พยาบาลน้อยถามเข้าประเด็นทันที
“ ครับ ผมอยากให้หมอไปดูยายของผมหน่อย แกเป็นแผลที่เท้ามา 1 เดือนแล้วครับ แล้วแกก็เป็นเบาหวานด้วยครับ ” ชายหนุ่มรีบแจ้งความประสงค์
“ ยายเป็นเบาหวาน แล้วมีแผลที่เท้าด้วย เป็นมานานแล้วนะนี่ ” พยาบาลน้อยรีบทวน
“ ขอโทษนะคะ ยายแกมีโรคประจำตัวอื่นด้วยมั้ย แล้วแกเดินได้มั้ยค่ะ” พยาบาลน้อยซักเพิ่มเติม
“ แกเป็นเบาหวานอย่างเดียวครับ แกเดินได้ อยู่ที่บ้านก็ใช้ walker ช่วยเดิน ” ชายหนุ่มตอบ
“ ถ้างั้นพายายมาตรวจที่นี่ได้มั้ยค่ะ เผื่อจะได้ล้างแผลให้แกด้วยเลย ” พยาบาลน้อยแนะนำ
“ นั่นแหละครับ ปัญหาของผม ผมชวนแกมาตรวจที่นี่หลายหนแล้ว ตั้งแต่เห็นแผลแกครั้งแรก แต่ยายไม่ยอมมา บ่ายเบี่ยงตลอด ล้างแผลเองที่บ้าน จนตอนนี้แผลลุกลามเยอะขึ้นกว่าเดิม มีกลิ่นเหม็นมาก ผมก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะทำงัยดี ยายแกดื้อมาก ผมก็เลยต้องมารบกวนหมอให้ไปดูแกที่บ้านที อยากให้แผลแกหายไว ๆ ครับ ” ชายหนุ่มเล่าระบายความทุกข์ใจให้ฟัง
“ อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง เข้าใจแล้วค่ะ งั้นขอเป็นตอนบ่าย ๆ นะค่ะ ตอนเช้านี้คนไข้เยอะนิดนึง ” พยาบาลน้อยรับปาก พร้อมทั้งให้พี่ศรีถามชื่อ ที่อยู่ และเตรียม Family Folder ไว้ให้ด้วย
หลังจากตรวจคนไข้เสร็จ พยาบาลน้อยได้มาเปิดดู Family Folder ที่เตรียมไว้ พบว่าผู้ป่วยชื่อ ยายปุก เป็นโรคเบาหวานตั้งแต่ปี 2550 รับการรักษาที่ รพ.ประจำจังหวัดตลอด ไม่มีประวัติการรักษาโรคเบาหวานที่ รพ.สต.เลย จะมีบ้างก็เป็นอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ครั้งสุดท้ายก็เมื่อปี 2554 แล้วแกก็ไม่เคยมาใช้บริการอีกเลย
ตอนบ่ายแก่ ๆ ที่บ้านครี่งไม้ครึ่งปูนหลังกะทัดรัด ดูสะอาดตา บริเวณรอบบ้านปลูกต้นมะม่วง ลำไย เรียงรายชิดรั้วปูนดูร่มรื่น มีสุนัขพันธุ์ไทยผสมเห่าเสียงดังอยู่ใต้ต้นมะม่วง ทันทีที่เห็นพยาบาลน้อย มาชะเง้อเรียกคนในบ้าน สักพักมีผู้หญิงวัยกลางคน เดินออกมาจากในบ้าน พร้อมทั้งตะโกนไล่สุนัขให้เงียบเสียงแล้วเดินไปคล้องเชือกที่ปลอกคอไว้
“ เชิญเลยค่ะ ” หญิงวัยกลางคนยิ้มเชื้อเชิญ พร้อมทั้งเดินมาเปิดประตูบ้านให้
“ สวัสดีค่ะป้า หนูมาเยี่ยมคุณยายค่ะ ” พยาบาลน้อยยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่า
“ ค่ะ ค่ะ แม่แกอยู่ข้างในค่ะ คุณหมอเชิญเข้ามาในบ้านก่อนค่ะ ” คุณป้ารีบเชิญ แล้วพาพยาบาลน้อยเดินไปหายาย
คุณยายปุก นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวในห้องรับแขกที่บ้าน ดูหน้าตาไม่ค่อยสดชื่น สีหน้าท่าทางมีความวิตกกังวลมากอย่างเห็นได้ชัด จนรู้สึกสงสาร สังเกตเห็นเท้าขวาที่ยายใส่ถุงเท้าไว้ข้างเดียว อีกทั้งยังหุ้มด้วยถุงหิ้วพลาสติก วางพาดม้านั่งพลาสติกตัวเล็กอยู่ ข้าง ๆ เก้าอี้ยาวก็เห็น walker ตั้งอยู่ไม่ไกล
“ สวัสดีค่ะ ยายปุก ” พยาบาลน้อยยกมือไหว้ ยายปุกรับไหว้ช้า ๆพร้อมกับมองหน้าแต่ก็ไม่พูดอะไร
“ หนูเป็นพยาบาลอยู่ที่อนามัยนะค่ะ วันนี้มาเยี่ยมยายปุก หลานชายบอกว่า อยากให้มาดูแผลให้ยายหน่อย เพราะว่าสงสารยาย อยากให้แผลยายหายไว ๆ ” พยาบาลน้อยแนะนำตัวพร้อมทั้งบอกวัตถุประสงค์ของการมาครั้งนี้ให้ทราบไปพร้อมกัน แล้วทรุดตัวนั่งข้าง ๆ ยายปุก สิ่งแรกที่พยาบาลน้อยสัมผัสได้ก็คือ กลิ่นเหม็นของแผลเบาหวานที่เป็นกลิ่นเฉพาะ
หลังจากชวนคุยสร้างสัมพันธภาพกับยายปุกได้สักพัก ก็จึงได้สอบถามถึงโรคเบาหวานของยายปุก และการไปตรวจตามนัดที่ รพ.ประจำจังหวัด ก็เป็นที่น่าแปลกใจว่ายายปุกไปตรวจตามนัดทุกครั้งไม่เคยขาดโดยลูกชายจะขับรถรับส่งทุกครั้ง ระดับน้ำตาลในเลือดปกติบ้าง สูงบ้าง ส่วนเรื่องการรับประทานยานั้นลูกสะใภ้เป็นคนคอยจัดยาให้รับประทานทุกวันตามแผนการรักษาของแพทย์ แต่ทำไมยายจึงเป็นแผลที่เท้าแล้วไม่ได้รับการดูแลรักษาใด ๆ จากบุคลากรทางการแพทย์เลย จนในที่สุดก็ได้พบสาเหตุของปัญหาที่ มอค.อย่างพวกเราก็อาจคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ
ยายปุกมีลูกชาย 8 คน ลูกสาว 1 คน ลูกสาวแต่งงานไปอยู่กับสามีที่ต่างจังหวัด นาน ๆ ก็จะมาเยี่ยมแม่บ้างตามเทศกาลวันหยุดยาวประจำปี ดังนั้นการดูแลยายปุกจึงเป็นหน้าที่ของลูกชายทั้ง 5 คน ที่ปลูกบ้านอยู่ถัด ๆ กันไปในบริเวณรั้วบ้านเดียวกัน ยายปุกเริ่มมีแผลเล็ก ๆ ที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาโดยก็ไม่รู้ว่าเป็นตั้งแต่เมื่อไร ยายปุกไม่เคยบอกใคร จนคนในบ้านเห็น แล้วชวนมาที่แผลที่ รพ.สต. แต่ยายปุกก็ไม่ยอมมา ลูกชายก็ได้แต่เพียรบอกให้ยายปุก บอกแพทย์ที่ รพ.ประจำจังหวัดให้ทราบเรื่องแผลด้วยทุกครั้งที่ไปพบแพทย์ตามนัด การไปพบแพทย์ตามนัดของยายปุกนั้น ลูกชายจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปรับส่งยายปุก แล้วแต่ใครที่ว่างจากภารกิจหาเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นการรับส่งจริง ๆ นั่นคือ ส่งยายปุกไปนั่งรอตรวจพบแพทย์ แล้วลูกชายก็มานั่งรอที่รถ เมื่อยายปุกพบแพทย์เสร็จแล้ว ก็จะโทรตามลูกชายมารอรับยาให้ แล้วก็รับยายปุกกลับบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไม่ว่าจะไปกับลูกชายคนไหน ไม่เคยมีลูกชายคนใดเลยที่เข้าไปพบแพทย์พร้อมกับยายปุก ประกอบกับความเข้าใจผิดของยายปุกที่ได้ยินได้ฟังมาจากเพื่อนบ้าน เกี่ยวกับเรื่องการตัดอวัยวะของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีแผล ทำให้เรื่องแผลของยายปุกไม่เคยรู้ถึงบุคลากรทางการแพทย์คนใด ๆ เลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งพอได้ทราบถึงที่มาของปัญหา พยาบาลน้อยจึงได้พูดคุย ทำความเข้าใจกับยายปุกถึงเรื่องแผลที่เท้าทันที แต่ด้วยความที่ยายปุกทีความเชื่อที่ฝังลึกมาก จึงต้องค่อย ๆพูดคุย ซักถามไปอย่างช้า ๆ ปล่อยให้ยายปุกได้พูดระบายความรู้สึกออกมา แต่พยาบาลน้อยก็ต้องนิ่งไปกับคำพูดของยายปุกที่ว่า
“ ยายกลัวเจ็บ แต่ไม่กลัวตาย ” ยายปุกพูดชัดเจน พร้อมทั้งก้มหน้าปิดบังไม่ให้ใครเห็นน้ำตา
“ คำว่าเจ็บของยาย คือยังงัย บอกหนูหน่อยได้มั้ยจ๊ะ ” พยาบาลน้อยขอความกระจ่าง
“ ก็จะมาตัดขากันออกทั้งขา จะไม่เจ็บได้ยังงัยล่ะหมอ ยายยอมตายดีกว่า ยายกลัว ” ยายปุกตอบเสียงสั่นเครือ
พยาบาลน้อยได้ยินแบบนี้ก็เห็นถึงทางสว่างขึ้นมาทันที นี่เองคือสาเหตุที่ยายปุกไม่ยอมบอกแพทย์เพราะกลัวโดนตัดขาขวาทั้งขา ทั้งๆที่ แผลยายปุกอยู่ที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาเพียงนิ้วเดียวเท่านั้น พอทราบดังนี้แล้ว พยาบาลน้อยจึงได้อธิบายถึงแผนการรักษาของแพทย์ที่ถูกต้องให้ยายปุกและคนในบ้านทราบ เปิดโอกาสให้ซักถามจนพอใจ ในที่สุดยายปุกยอมไปพบแพทย์ก่อนนัดเนื่องจากมีแผลติดเชื้อที่เท้าขวา ยายปุกรับปากกับพยาบาลน้อยด้วยสีหน้าที่ยังคงมีความวิตกกังวลหลงเหลืออยู่ แต่พยาบาลน้อยก็มั่นใจว่ายายปุกจะไปพบแพทย์ที่ รพ.ประจำจังหวัดตามที่ได้รับปากไว้จริง ๆ จึงได้นัดให้ลูกชายไปเอาใบส่งตัวยายปุกเพื่อพบแพทย์ที่ รพ.ประจำจังหวัดในวันรุ่งขึ้น
เวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ พยาบาลน้อยขับรถผ่านหน้าบ้านยายปุก ก็เห็นประตูบ้านปิดเงียบสนิท ก็ได้แต่สงสัย อยากทราบเรื่องราวของยายปุก จึงได้สอบถามกับ อสม.ที่ดูแลครอบครัวยายปุก จึงได้ทราบว่ายายปุกได้นอนรักษาตัวที่ รพ.ประจำจังหวัด ยังไม่ออกมา ตั้งแต่ที่ส่งตัวไปตั้งแต่คราวก่อน กระทั่งเวลาผ่านไปได้อีก 3 วัน อสม.คนเดิมมาบอกที่ รพ.สต.ว่า ยายปุกกลับมาแล้ว
ตอนสาย ๆ วันรุ่งขึ้น พยาบาลน้อยไปเยี่ยมยายปุกที่บ้าน พบกับยายปุกที่หน้าตายิ้มแย้ม แจ่มใส พูดคุยอย่างอารมณ์ดี ไม่เหลือเค้ายายปุกคนเดิมให้เห็นเลย พร้อมทั้งยังเปิดผ้าก๊อสที่ปิดแผลไว้ให้ดูอีกด้วยสภาพที่เห็นคือนิ้วหัวแม่เท้าขวาถูกตัดส่วนปลายที่เป็นเนื้อตายออกไป แผลถูกเย็บและตัดไหมเรียบร้อยแล้วยายปุกสามารถเดินได้เองโดยไม่ต้องใช้ไม้เท้าช่วย ยายปุกและคนในครอบครัวมีความสุขมากขึ้น
เรื่องราวของยายปุก ถือว่าเป็นบทเรียนสำหรับ มอค.ได้เป็นอย่างดีในเรื่องการดูแลสุขภาพของคนในชุมชน ภาระของรพ.ทั่วไป รพ.ศูนย์ขนาดใหญ่ ที่ต้องให้บริการกับผู้ป่วยเป็นจำนวนมากนั้น อาจทำให้การบริการไม่ครบถ้วน ครอบคลุมได้ ประกอบกับปัจจัยส่งเสริมของตัวผู้ป่วยเอง เช่น ความรู้ ทัศนคติ ความเชื่อ ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ ดังเช่นเรื่องราวของยายปุก
ดังนั้น มอค.ที่อยู่ใน รพ.สต.สามารถเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนได้เป็นอย่างดี เพราะอยู่ในชุมชน เข้าถึงประชาชนได้ง่าย รู้ถึงสภาพปัญหา มีเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วถึง เพียงแต่ต้องรู้วิธีจัดการให้ถูกต้อง เหมาะสมกับบริบทของสถานบริการนั้น ๆ ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างจำกัดให้คุ้มค่าที่สุด เราถึงจะได้ชื่อว่าเป็นสถานบริการที่ “ ใกล้บ้าน ใกล้ใจ ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น